วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

โรบิน ฟาน เพอร์ซี่

โรบิน ฟาน เพอร์ซี่



  1. นักฟุตบอล
  2. โรบิน ฟัน แปร์ซี เป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์ ตำแหน่งศูนย์หน้าของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ นอกจากนั้นยังเล่นเป็นปีกซ้ายได้อีกด้วย 
  3. เกิดเมื่อ6 สิงหาคม 2526 (อายุ 31), รอตเทอร์ดามเนเธอร์แลนด์
  4. ความสูง1.83 ม.
  5. เงินเดือน12.2 ล้าน GBP (พ.ศ. 2556)


    ฟาน เพอร์ซี เกิดในครอบครัวของศิลปิน โดยแม่ของเขาเป็นจิตรกร ขณะที่ พ่อเป็นนักประติมากรรม ในขณะที่ลูกชายมาเอาดีทางการเป็นศิลปินลูกหนังแทน โดยเขาได้เริ่มต้นเส้นทางสายลูกหนังกับทีมเยาวชนเอสบีวี เอ็กเซลซิเออร์ ขณะที่ อายุได้ 14 ปี
     อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีปัญหาไม่ลงรอยกับสตาฟฟ์โค้ช และแม่ของเขา ฟาน เพอร์ซี ก็ได้ย้ายไปอยู่กับเฟเยนูร์ด แทน ก่อนที่จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จนถูกเรียกขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว ด้วยอายุเพียง 17 ปี อีกทั้งยังโชว์ผลงานสุดแจ่ม กระทั่งคว้าตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมลีก ดัตช์ ประจำปี 2001-02 จากนั้นต้นสังกัดไม่รอช้า จับดาวเตะผอมบางเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพเป็นเวลาสามปีครึ่ง
     ทว่าหัวหอกดาวรุ่งก็มีความขัดแย้งกับ เบิร์ต ฟาน มาร์ไวค์ กุนซือของทีมในขณะนั้น จนถูดลดชั้นไปเล่นในทีมสำรอง "พฤติกรรมที่รับไม่ได้ของเขา บังคับให้ผมต้องลดชั้น โรบิน ไปอยู่กับทีมสำรอง และไม่มีความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมาอยู่ในทีมชุดใหญ่อีกแล้ว ในระหว่างที่ผมเป็นนายใหญ่ของเฟเยนูร์ด" คำพูดของโค้ชเบิร์ตดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการแตกหักในที่สุด
     "โรบิน" ตกลงเซ็นสัญญา 4 ปีกับอาร์เซน่อล เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2004 ด้วยค่าตัวเพียง 2.75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 130 ล้านบาท) จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ราว 5 ล้านปอนด์ (250 ล้านบาท) ก่อนที่จะได้ประเดิมสนามด้วยการเป็นตัวสำรองในเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ซึ่ง “ปืนใหญ่” คว้าชัยเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ในเดือนส.ค. ปีเดียวกัน
     ในช่วงแรก ฟาน เพอร์ซี ต้องลงเล่นเป็นตัวสำรองเป็นส่วนใหญ่ แถมยังถูกโยกไปยืนปีกซ้ายซะเยอะ เพราะช่วงนั้น "เดอะ กันเนอร์ส" ใช้งาน เธียร์รี่ อองรี เป็นหน้าเป้า และยังมี โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส อีกตัว ทำให้เจ้าตัวเข้าๆออกๆ ในทีมชุดใหญ่

     อย่างไรก็ดีในช่วงต้นซีซั่น 2005-06 หัวหอกชาวดัตช์ เริ่มปรับตัวเข้ากับทีมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนได้รางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำเดือนพฤศจิกายน หลังจากซัดไป 8 ลูก แต่ว่าอดีตแข้งเฟเยนูร์ด เจออาการบาดเจ็บถามหาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2006 จนหายหน้าไปนานหลายเดือนก่อนจะกลับมามีชื่อเป็นตัวสำรองในเกมนัดชิงยูซีแอล ซึ่งพบกับ บาร์ซ่า แต่ก็ไม่ได้สัมผัสเกมแต่อย่างใด
     ระหว่างซีซั่น 2007-08 อองรี ดาวยิงอมตะ ตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพบาร์เซโลน่า ส่งผลให้ ฟาน เพอร์ซี่ กลายเป็นดาวยิงตัวหลักของอาร์เซน่อล แต่ช่วงเวลาดังกล่าว อาการบาดเจ็บเป็นปัญหาใหญ่ของเจ้าตัว เป็นเหตุให้ "ฟลายอิ้งดัตช์แมน" ไม่อาจเค้นศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่
     ฤดูกาล 2008-09 ถือเป็นช่วงที่ ฟาน เพอร์ซี่ ท็อปฟอร์มที่สุด โดยเขาทำได้ถึง 20 ประตูในทุกถ้วย และนั่นทำให้เขาได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลจากการลง คะแนนของแฟนๆ ผ่านเว็ปไซต์สโมสร ทว่าในขณะที่ฟอร์มกำลังรุ่งๆ อยู่นั้น ฟาน เพอร์ซี ก็โชคร้ายข้อเท้าหักระหว่างการเล่นให้ทีมชาติ จนทำให้ต้องพักยาวถึง 5 เดือน ก่อนที่จะกลับมาลงสนามได้ในช่วงเดือนเม.ย. 2010 ก่อนที่จะจบซีซั่นด้วยสถิติทำ 9 ประตูจาก 16 นัดในพรีเมียร์ลีก
     หลังการย้ายไปอยู่บาร์ซ่าของ ฟาเบรกาส ในช่วงซัมเมอร์ปี 2011 เวนเกอร์ ก็ได้แต่งตั้งให้ ฟาน เพอร์ซี เป็นกัปตันทีมคนใหม่อย่างเป็นทางการ โดยเขาต้องรับบทหนักในการรับภาระผู้นำในยามที่ไม่มีสองตัวเก่งอย่าง ฟาเบรกาส และ ซาเมียร์ นาสรี่ ที่ย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประวัติ โรบิน ฟาน เพอร์ซี
     ในส่วนของทีมชาตินั้น ฟาน เพอร์ซี ติดทีมชุดใหญ่ของฮอลแลนด์เป็นครั้งแรก ในเกมคัดบอลโลก 2006 กับโรมาเนีย ก่อนที่จะทำประตูแรกได้ในเกมที่พบกับ ฟินแลนด์ นัดต่อมาดาวเตะปืนใหญ่ ติดทีมกังหันสีส้มมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย, ยูโร 2008 และศึกฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งฮอลแลนด์ ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนที่จะไปพ่าย สเปน 0-1
     ฤดูกาล (2011-12) ถือเป็นปีทองของ ฟาน เพอร์ซี่ หลังจากกดไปถึง 30 ประตูจากการลงสนาม 38 นัด นอกจากนี้ ปัญหาอาการบาดเจ็บที่เคยหลอกหลอนเจ้าตัวก็ถูกพับเก็บใส่ลิ้นชักเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะช่วยต้นสังกัดคว้าอันดับสามในพีเมียร์ลีก ส่งผลให้กองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์ กลายเป็นหนึ่งในแปดดาวซัลโวตลอดกาลของสโมสรอาร์เซน่อล ด้วยการกดไปทั้งสิ้น 132 ประตูจากการลงสนาม 277 นัด ทั้งนี้บาบาทของ ฟาน เพอร์ซี่ กับไอ้ปืนใหญ่ถึงทางแยก ภายหลังที่เจ้าตัวกำลังจะย้ายไปสวมยูนิฟอร์ม "ปิศาจแดง" ด้วยค่าตัวราว 24 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1200 ล้านบาท)
       หลังจากทำประตูในนัดที่พบกับเอฟเวอร์เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2013 ฟาน เพอร์ซี่ก็ไม่ได้ทำประตูอีกเลยถึง 10 เกมและแล้วเขาก็กลับมาทำประตูได้ด้วยลูกจุดโทษในเกมที่พบกับสโต๊คเมื่อ 14 พฤษภาคม  
       ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2013 เขาทำแฮตทริกได้ในครึ่งแรกกับนัดที่พบกับแอสตัน วิลล่าเพื่อเป็นการย้ำชัยชนะและย้ำความเป็นแชมป์ครั้งที่ 20 ใน 4 เกมที่เหลืออยู่ในมือ ประตูที่สองที่ได้มาจากเวย์น รูนี่ย์ที่ผ่านบอลจากด้านหลัง เขาจึงวอลเลย์ลูกบอลเข้าไปตุงตาข่ายจากนอกกรอบเขตโทษ
        แฟนบอลปิศาจแดงต่างโหวตให้โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ได้รับรางวัล Sir Matt Busby Player of the year สำหรับฤดูกาล 2012/2013  และเขาก็มีชื่อติดอยู่ใน 10 รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งยุโรปประจำฤดูกาล 2012/2013
       ฤดูกาล 2013-2014  โรบิน ฟาน เพอร์ซี่เริ่มแคมเปญด้วยการยิงประตูวีแกน แอธเลติกในเกมคอมมูนิตี้ชิลด์ 2-0 เป็นของขวัญที่เป็นเกียรติแก่เดวิด มอยส์ผู้จัดการทีมคนใหม่   ในวันที่ 17 กันยายน 2013 แข้งฮอลแลนด์ผู้นี้ทำประตูแรกในลีกได้ด้วยการวอลเลย์สุดสวยในเกมที่เอาชนะสวอนซี 4-1



เวย์น มาร์ก รูนีย์


  1. เวย์น รูนีย์
    นักฟุตบอล
  2. เวย์น มาร์ก รูนีย์ เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีก และฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ตำแหน่งกองหน้า และยังเป็นกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกด้วย
  3. เกิดเมื่อ 24 ตุลาคม 2528 (อายุ 29)
  4. ส่วนสูง 1.76 ม.
  5. คู่สมรส คอลีน รูนีย์ (สมรส พ.ศ. 2551)
  6. เงินเดือน18.1 ล้าน USD (พ.ศ. 2556)
  7. ทีมปัจจุบัน ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ (กองหน้า), สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เบอร์10 / กองหน้า)
  8. ทายาท ไค เวย์น รูนีย์

          เวย์น มาร์ค รูนี่ย์ 1 ใน 3 ลูกชายของบ้านรูนี่ย์  เป็นนักเตะที่มีความมหัศจรรย์มากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษในยุคนี้ เหนือยิ่งกว่าไมเคิล โอเว่น กองหน้ามหัศจรรย์ของทีมลิเวอร์พูลเสียอีก และที่ตลกร้ายไปกว่านั้นคือทั้งคู่แจ้งเกิดในสโมสรร่วมเมืองเดียวกัน แต่เป็นคนละสี
         โอเว่น คือขวัญใจสีแดงของลิเวอร์พูล ขณะที่รูนี่ย์ คือความภาคภูมิใจของชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนสีน้ำเงิน
         รูนี่ย์ มีบ้านเกิดอยู่ในย่านคร็อกซ์เทธ และได้รับแรงบันดาลใจในการฝากตัวเป็นสาวกท๊อฟฟี่เม็นจากครอบครัว และยังคงมีใจให้กับเอฟเวอร์ตันเสมอ โดยภาพที่ประทับใจผู้คนคือการสวมเสื้อยืดที่พิมพ์ลายสกรีนว่า "Once a blue, Always a blue"
         แน่นอนว่าด้วยความรักที่มีต่อเอฟเวอร์ตัน ทำให้เจ้าหนูรูน มีความปรารถนาที่จะสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มลงเล่นในสนามกูดิสัน ปาร์ค ต่อหน้าชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนทั้งผอง และฝันนั้นของรูนี่ย์ ก็เริ่มมีเค้าลางความจริงเมื่อเขาได้รับการเซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นในทีมเยาวชนในวันเกิดอายุครบรอบ 11 ปี อันเป็นผลพวงมาจากผลงานที่โดดเด่นสุดๆในสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียน ลิเวอร์พูล สคูลบอยส์ และทีมเยาวชนเดอะ ไดนาโม บราวนิ่งส์
         หลังจากนั้นรูนี่ย์ ก็ใช้เวลาขัดเกลาตัวเองอยู่ในรั้วหัวใจของชาวกูดิสัน ปาร์ค และรอเวลาที่จะเปล่งประกายเป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ
         ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเทพนิยาย และความสำเร็จก็อาจมาโดยไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องราวบทแรกในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาก็ต้องถูกจารึกไว้ เมื่อกลายเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกได้ด้วยวัยเพียง 16 ปีกับอีก 360 วัน (ก่อนที่จะโดนแซงหน้าไปอีก 2 ครั้ง) ในวันที่ 19 ต.ค. 2002
         แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือประตูแรกของรูนี่ย์ มีความหมายอย่างยิ่งเพราะเป็นประตูในช่วงนาทีสุดท้ายที่ช่วยให้เอฟเวอร์ตัน เอาชนะอาร์เซนอล ที่ไม่เคยแพ้ใครมา 30 เกมได้สำเร็จ และยังเป็นประตูสุดสวยด้วยการปั่นไซด์โค้งระยะกว่า 30 หลาเข้าสามเหลี่ยมมุมบนแบบสุดอัศจรรย์อีกด้วย
        นับตั้งแต่นั้นมา รูนี่ย์ ก็ถูกจับตามองจากสื่อมวลชนในอังกฤษ และได้รับการยกย่องให้เป็นวันเดอร์คิดคนใหม่ของวงการฟุตบอล และได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2002 ด้วยเมื่อจบฤดูกาลแรก
         แต่ชีวิตของรูนี่ย์ ก็ประสบปัญหาในฤดูกาลต่อมา เมื่อเอฟเวอร์ตัน มีผลงานตกต่ำลงอย่างน่ากลัว ขณะที่รูนี่ย์ เองก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มการเล่นที่ดร็อปลงไปมาก รวมทั้งยังเริ่มมีพฤติกรรมในทางที่ไม่เหมาะสมเช่นการไปเที่ยวสถานเริงรมย์และมีรสนิยมชอบสาวงามเมืองที่มากประสบการณ์เป็นต้น
         อย่างไรก็ดี คนเมื่อถูกฟ้าลิขิตมาให้เป็นดาวประดับฟ้า อะไรจะมาหยุดนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงสุดอย่างรูนี่ย์ได้
         รูนี่ย์ กลับมาแจ้งเกิดได้อย่างยิ่งใหญ่แบบเต็มตัวในช่วงศึกยูโร 2004 โดยได้ถูกเรียกตัวจากสเวน โกรัน เอริคส์สัน ให้เข้ามาติดทีมชาติ โดยมีไมเคิล โอเว่น สตาร์รุ่นพี่เป็นคู่หู ซึ่งก่อนหน้านั้นรูนี่ย์ เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติมาเป็นเวลาปีเศษแล้ว โดยเกมแรกที่ได้ลงเล่นในสีเสื้อสิงโตคำรามคือเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติออสเตรเลีย ในวันที่ 12 ก.พ. 2003 และเป็นอีกครั้งที่ทำสถิติเป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุด (ก่อนจะโดนธีโอ วัลค็อตต์ วันเดอร์คิดคนต่อมาทำลายในปีกลาย)
         ในยูโร 2004 ที่โปรตุเกส รูนี่ย์ สามารถผลิตผลงานระดับเทวดาเรียกพี่ได้ และเป็นแกนนำคนสำคัญในทีมไปอย่างไม่น่าเชื่อ กลบรัศมีของดาวเด่นอย่างโอเว่นลงสนิท ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน กล้าหาญ และเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในการเล่น
         รูนี่ย์ ยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปด้วยเมื่อทำได้ 2 ประตูในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็ถูกโยฮัน ฟอนลันเธน กองหน้าทีมชาติสวิสแก้ตัวคืนได้ในอีก 4 วันถัดมา
         ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของรูนี่ย์ ทำให้ทีมชาติอังกฤษมีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในเวทีระดับชาติอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ต้องฝันสลายเมื่อรูนี่ย์ เกิดได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับโปรตุเกส จนต้องเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ก่อนที่ทีมสิงโตคำรามจะตกรอบด้วยการพ่ายจุดโทษ
         อาการบาดเจ็บของรูนี่ย์ มีการเปิดเผยว่าเป็นอาการกระดูกเท้าแตก และต้องพักรักษาตัวอีกหลายเดือน แต่มันก็กลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทีมต่างๆที่จะตามล่าเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้ไปร่วมทีม ขณะที่เอฟเวอร์ตัน ต้นสังกัดพยายามสุดชีวิตเพื่อจะปกป้องสมบัติล้ำค่าของแฟนบอลเอาไว้ให้ได้

        แต่ถึงจะรักเอฟเวอร์ตันแค่ไหน รูนี่ย์ ก็ไม่สามารถปฏิเสธโอกาสที่จะได้เติบโตก้าวหน้าไปอีกหลายก้าวกับทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ ซึ่งแม้ว่าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะต้องยอมเสี่ยงซื้อนักเตะที่ยังบาดเจ็บอยู่มาด้วยค่าตัวถึงกว่า 27 ล้านปอนด์ แต่รูนี่ย์ ก็ได้ตอบแทนความไว้วางใจด้วยผลงานเหนือเมฆในเกมแรกที่ลงสนามด้วยการยิงแฮตทริกทันทีในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
        กระนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ยังไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอมากนัก เนื่องจากแมนฯ ยูไนเต็ด เองก็มีปัญหาความไม่ลงตัวโดยเฉพาะรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าตัวค้ำที่มีปัญหาคาใจกับทางคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกดาวรุ่งของทีมจนเป็นชนวนบาดหมางและลงเอยที่กองหน้าชาวฮอลแลนด์ ที่เป็นดาวซัลโวประจำทีมต้องย้ายออกไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
        แต่การย้ายออกไปของฟาน นิสเตลรอย กลับเป็นผลดี เมื่อรูนี่ย์ ได้มีบทบาทในฐานะหัวใจสำคัญในเกมรุกอย่างจริงจัง โดยมีหลุยส์ ซาฮา เป็นคู่หูคนใหม่ที่เข้าขากันได้ดี รวมถึงโรนัลโด้ ที่เคยมีข่าวหมางใจกันในช่วงฟุตบอลโลก 2006 ก็จับมือผนึกกำลังกันได้อย่างน่ากลัว
        สำหรับฟุตบอลโลก 2006 นั้นเป็นอีกครั้งที่รูนี่ย์ ต้องผิดหวังด้วยฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ เนื่องจากก่อนหน้าจะเริ่มฟุตบอลโลกที่เยอรมันไม่ถึง 2 เดือน เกิดได้รับบาดเจ็บกระดูกเท้าแตกที่เดิมและต้องเร่งรักษาตัวท่ามกลางการเอาใจช่วยของแฟนบอลชาวผู้ดี แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน
        ขณะที่ตัวเก๋าๆ อย่างพอล สโคลส์ และไรอัน กิ๊กส์ ก็เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้อีกครั้งจนพลพรรคอสูรแดงไล่ต้อนคู่แข่งทั่วราชอาณาจักรและมีลุ้นประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกครั้งในฤดูกาลนี้
        โดยที่มี "คิง" คนใหม่ของโอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่างเวย์น รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญ ..
        ฤดูกาลที่ 2008/09 ในขณะที่แดนหน้าของผีแดง มีทั้งคาร์ลอสเตเบซ และ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอพ เป็นตัวเลือก รวมถึง โรนัลโด้ที่ท่านเซอร์จับลงเล่นเป็นกองหน้าในบางครั้ง แต่รูนีย์ ก็ยังเป็นตัวเลือกหลัก ของทีมอยู่ดี
       จุดเริ่มต้นของรูนี่ย์ในฤดูกาลนี้ เขาสามารถทำประตูได้ในนาทีที่ 90 สำหรับการแข่งขันคอมมูนิตี้ชิลด์ปี  2009 และก็ยิงประตูในเกมที่แพ้ให้กับเชลซี เขายิงเพียงประตูเดียวในนัดเปิดฤดูกาล 2009-2010 นัดที่พบกับเบอร์มิ่งแฮมซิตี้
       ในวันที่ 29 สิงหาคม ยูไนเต็ดพบกับอาร์เซน่อลที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด  รูนี่ย์ตีเสมอให้กับทีมด้วยลูกจุดโทษ หลังจากอังเดร อาร์ชาวินสกัด  จบเกมที่ 2-1 จากการที่อบู ดิยาบี้ทำเข้าประตูตัวเอง วันที่ 28 พฤศจิกายน 2009 รูนี่ย์สามารถทำแฮตทริกเป็นครั้งแรกในรอบสามปีในชัยชนะ 4-1 นัดที่พบกับปอร์ทสมัธ ซึ่งสองประตูมาจากลูกจุดโทษ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2009 เขาได้รับรางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ในเกมที่พบกับฮัลล์ ซิตี้ เขามีส่วนร่วมกับทุกประตู
        เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2010 แมนฯ ยูไนเต็ดพ่ายแพ้ให้บาเยิร์น มิวนิคในรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกที่อลีอันซ์ อารีน่า รูนี่ย์มีปัญหากับข้อเท้าในนาทีสุดท้ายทำให้ตัวเขาไม่ค่อยราบรื่นนัก  ในขณะที่เสือใต้ทำได้สองประตู  มีความกังวลในอาการบาดเจ็บเล้กน้อยและเขาจะพลาดลงสนามประมาณ 2-3 สัปดาห์
       ฤดูกาล 2010-2011 วันที่ 2 เมษายนรูนี่ย์ทำแฮตทริกในเกมที่เอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด 4-2 ในการออกไปเยือน  นี่เป็นแฮตทริกครั้งที่ 5 ของเขาในเสื้อสีแดง เป้าหมายของเขาคือยิงประตูที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก เขาคือนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ดคนที่ 3 ที่ทำประตูครบ 100 ประตูโดยมีไรอัน กิ๊กส์และพอล สโคลส์
       มีข่าวที่เวย์น รูนี่ยไปสบถต่อหน้ากล้องทำให้สมาคมฟุตบอลอังกฤษต้องปรับเงินและห้ามลงสนาม 2 นัด
       ฤดูกาล 2011-2012 เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการทำประตูแรกกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน  รูนี่ย์เล่น1-2กับแอชลี่ย์ ยังก่อนที่จะจบประตูได้จากนอกกรอบเขตโทษ ทำประตูที่สองได้ในเกมกับทอตแน่ม ฮอตสเปอร์จากลูกโหม่งในเดือนกันยายน เขาทำ 150 ประตูให้กับยูไนเต็ด  แฮตทริกแรกของฤดูกาลคือเกมที่เอาชนะอาร์เซน่อล 8-2 เขาเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในเกมนั้น 2ประตูจากลูกฟรีคิก 1ประตูจากลูกจุดโทษและแอสซีสต์ให้นานี่ทำประตู ตามมาด้วยแฮตทริกในเกมถัดมาที่ออกไปเยือนโบลตัน วันเดอเรอร์ส 5-0 ในวันที่ 10 กันยายน เขาจึงกลายเป็นนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่แฮตทริกติดต่อกันอย่างนี้
       วันที่ 4 มีนาคม 2012 รูนี่ย์ทำประตูแรกในเกมท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ที่ไวท์ฮาร์ทเลน รวมแล้วเขาทำไป 196 ประตูและเขาทำประตูได้อีกครั้งในเกมถัดไปกับแอธเลติก บิลเบา
        ฤดูกาล 2012-2013 แม้จะเปิดฤดูกาลพบกับเอฟเวอร์ตัน รูนี่ย์ถูกให้นั่งสำรองในเกมที่สองกับฟูแล่มเพราะการมาของโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ขวัญใจคนใหม่  หลังจากชินจิ คากาวะลงมาในนาทีที่ 68 รูนี่ย์ได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาอย่างรุนแรงโดยฮูโก้ โรดาเยก้าเป็นคนทำ ทำให้เขาต้องพักยาวร่วมเดือน รูนี่ย์กลับมาในวันที่ 29 กันยายนนัดที่แพ้สเปอร์ 3-2 ในวันถัดมาเขาได้โรบิน ฟาน เพอร์ซี่เข้ามาสนับสนุนในนัดที่เอาชนะ CFR ครูจ 2-1 ในยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก และยิงประตูแรกในบ้านได้นัดที่พบสโต๊ควันที่ 20 ตุลาคม
       ฤดูกาล 2013-2014  วันที่ 5 กรกฎาคม 2013 เดวิด มอยส์ผู้จัดการทีมคนใหม่ประกาศว่ารูนี่ย์ไม่ได้มีไว้ขาย หลังเชลซี,อาร์เซน่อล,เรอัล มาดริด,ปารีส แซงต์ แชร์กแมงกำลังให้ความสนใจ และเชลซีก็ยื่นข้อเสนอเข้ามาอีกครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธเหมือนเดิม
       รูนี่ย์ได้ลงสนามนัดที่เสมอกับเชลซี 1-1 พร้อมกับทำผลงานได้ดีมากราวกับเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ได้เลย หลังจากนั้นก่อนจะเตะนัดถัดไปที่พบกับลิเวอร์พูลเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจากการปะทะกับฟิล โจนส์ในสนามฝึกซ้อม ทำให้พักยาว เพราะบาดแผลฉกรรจ์มาก



Neymar JR



ประวัติ เนย์มาร์


ชื่อ-นามสกุล : “เนย์มาร์” ดา ซิลวา ซานโต๊ส จูเนียร์
วันเดือนปีเกิด : วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1992
สถานที่เกิด : โมกิ ดาส ครูซเซส ประเทศบราซิล
ส่วนสูง : 174 เซนติเมตร
อาชีพ : นักฟุตบอล (กองหน้า)
กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติบราซิล ยอมรับแล้วว่า ตนเองจะย้ายจาก ซานโต๊ส ในบ้านเกิด ไปค้าแข้งกับทีม บาร์เซโลนา ในสเปน หลังจากเนื้อหอมได้รับความสนใจจากหลายทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา…
ประวัติครอบครัว
- เนย์มาร์ เกิดที่ โมกี ดาส ครูเซส เซาเปาโล โดยมีพ่อแม่ชื่อว่า เนย์มาร์ ดา ซิลวา ซีเนียร์ อดีตนักฟุตบอล และ นาดิเน ซานโตส โดย ปัจจุบัน พ่อของเขา กลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ เนย์มาร์
- เนย์มาร์ เติบโตมาพร้อมกับการรักในการเล่นฟุตซอล และ สตรีทฟุตบอล
- ในปี 1992 เนย์มาร์ ยังไปอยู่กับ ครอบครัว ที่ เซา บิเซนเต และเป็นจุดเริ่มของการเล่นฟุตบอลระดับเยาวชนกับทีม โปรตุเกซา ซานติสตา จากนั้น ในปี 2003 ครอบครัว ย้ายไปที่ เซาเปาโล และ เนย์มาร์ ก็ได้ร่วมทีม ซานโต๊ส เอฟซี ก่อนจะประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
- ในเดือนพ.ค.ปี 2011 เนย์มาร์ เพิ่งรู้ว่า ตัวเองมีลูกชาย ชื่อว่า “ดาวี ลุซซี” ซึ่งเกิดเมื่อเดือนส.ค.ปี 2011 กับสาววัย 17 ปี และอีก 4 วันหลังจากนั้น เขาก็ประกาศอย่างเป็นทางการผ่านเว็บไซต์ตนเอง ว่าเขากลายเป็นพ่อคน เมื่อตอนอายุเพียง 19 ปี อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลของหญิงสาวผู้เป็นแม่รายนี้
ประวัติการเล่น
ระดับอาชีพ 2009- ปัจจุบัน บาร์เซโลนา
ระดับเยาวชน 2003-2009 ซานโต๊ส
ระดับทีมชาติ
2010-ปัจจุบัน ทีมชาติบราซิลชุดใหญ่
2009-2011 ทีมชาติบราซิล ชุดยู-17,ยู-20
ผลงานและเกียรติประวัติที่ผ่านมา
ระดับสโมสร
- โคปา เดอ บราซิล : 2010
- คัมปิโอนาโต เปาลิสตา : 2010, 2011, 2012
- โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส : 2011
- เรโคปา ซูดาเมริกานา : 2012
ระดับทีมชาติ
- ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์อเมริกาใต้ : 2011
- ซุปเปอร์คลาสิโก เดอ ลาส อเมริกาส : 2011, 2012
- เหรียญเงิน โอลิมปิกเกมส์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ : 2012
ระดับส่วนตัว
- ดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน คัมปิโอนาโต เปาลิสตา (1): 2009
- กองหน้ายอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน คัมปิโอนาโต เปาลิสตา (3): 2010, 2011, 2012
- นักเตะยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน คัมปิโอนาโต เปาลิสตา (3): 2010, 2011, 2012
- นักเตะยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส (1): 2011
- ติดทีมยอดเยี่ยมการแข่งขันคัมปิโอนาโต บราซิเลียโร ซีรีเอ (2): 2010, 2011
- อาเธอร์ เฟรเดนไรช์ อวอร์ด (1): 2010
- รองเท้าทองคำ รวมทุกรายการในบราซิล (2): 2010, 2011
- ดาวซัลโว โคปา โด บราซิล (1): 2010
- ดาวซัลโวฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์อเมริกาใต้ (1): 2011
- นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปอเมริกาใต้ (1): 2011
- ฟีฟ่า ปุสกัส อวอร์ด (1): 2011
- ดาวซัลโว คัมปิโอนาโต เปาลิสตา (1): 2012
- ดาวซัลโว โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส (1): 2012


วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Red Wars 2014


      

ศึกวันแดงเดือด!"แมนฯยู"หักปีก"หงส์แดง" 3-0

        ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดแดงเดือด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดรังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล อริตลอดกาล ครึ่งแรกเป็นเจ้าถิ่นที่ทำได้ดีกว่า และออกนำไปก่อนถึง 2-0 จากประตูของ เวย์น รูนีย์ นาทีที่ 12 และจวน มาตา นาทีที่ 40
      
       เข้าสู่ครึ่งหลังลิเวอร์พูล ออกตัวดี และมีโอกาสลุ้นประตูหลายครั้ง แต่ซัดไปติดมือ ดาวิด เด เคอา เสียหมด กระทั่งนาทีที่ 71 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็หนีไปเป็น 3-0 จากการแปเน้นๆ ของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี จากนั้นไม่มีใครทำอะไรกันได้อีกจบเกม แมนฯ ยูไนเต็ด ถล่ม ลิเวอร์พูล 3-0 เก็บเพิ่มเป็น 31 คะแนนจาก 16 นัดอยู่ที่ 3 ส่วน ลิเวอร์พูล มี 21 คะแนนจากการลงเล่นเท่ากัน.


''ศึกแดงเดือด'' ตำนานคู่ปรับวงการลูกหนังเมืองผู้ดี




     เมื่อพูดถึงคู่ปรับในวงการฟุตบอลแล้ว ส่วนใหญ่จะนึกถึงเกมดาร์บี้แมตช์ ระหว่างทีมร่วมเมือง อย่างไรก็ตามสำหรับวงการกีฬาเมืองผู้ดีแล้ว ไม่มีเกมใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการพบกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งมีเรื่องเล่าขานกันอย่างไม่รู้จบ 

        สำหรับวงการฟุตบอลอังกฤษแล้ว สองชื่อเรียกที่จะถูกพูดถึงหนีไม่พ้น แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล และจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการแย่งแชมป์หรือการทำอันดับไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป, การปะทะคารมระหว่างผู้จัดการของทั้งสองทีม, การปฏิเสธที่จะจับมือกันของผู้เล่นในสนาม และการร้องเพลงแซวกันระหว่างแฟนบอลเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเป็นคู่ปรับได้เป็นอย่างดี
 
        อย่างไรก็ตามนอกจากความเกลียดชังแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยากจะปฏิเสธคือทั้งสองทีมขาดกันไม่ได้ โดยในยุค 1980 ที่ลิเวอร์พูลครองความยิ่งใหญ่ในเมืองผู้ดีนั้น แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด จะเฝ้ารอเกมที่พวกเขาจะได้พบกับ "หงส์แดง " ปีละสองครั้ง และเชื่อว่า บรรดาเดอะ ค็อป ในตอนนี้ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
 
        แน่นอนว่าการแข่งขันทุกอย่างสิ่งที่จะเป็นตัวชูโรง และเรียกร้องความสนใจจากแฟนๆ ได้ดีที่สุดคือ ทุกทีมต้องการคู่ปรับ มันทำให้พวกเขารู้สึกดีเวลาที่ทีมชนะ และต้องการที่จะข่มอีกฝ่าย โดย โทนี่ วิลสัน แฟนบอลลิเวอร์พูลรายหนึ่ง กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
 
        "เราทั้งสองทีมคล้ายกันมาก แมนเชสเตอร์ อาจจะเป็นหัวใจของ นอร์ท เวสต์ แต่ ลิเวอร์พูล คือปอด ตอนที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่าจะเขี่ยลิเวอร์พูลตกบัลลังก์ผมไม่ได้สนใจเท่าใดนัก"
 
        "ผมไม่คิดว่า ยูไนเต็ด จะประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ในช่วง 20 ปีล่าสุด และเราคงจะไม่ประสบความสำเร็จในยุค 1970 ถึง 1980 มากเท่านี้ หากว่าไม่มีทีมคู่แข่งเป็นแรงกระตุ้น"
 
        ฤดูกาลนี้ทั้งสองทีมอาจจะไม่ใช่ทีมที่ได้ลุ้นแชมป์อย่างจริงจัง หรือผลการแข่งขันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในตารางมากมาย แต่มันก็จะทำให้ชีวิตของแฟนบอลของแต่ละทีมมีความสุขมากที่สุดในฤดูกาลนี้ หากว่าผลการแข่งขันออกมาอย่างที่พวกเขาต้องการ ขณะเดียวกัน พอล อินซ์ ที่เป็นแค่หนึ่งในสามคน นับตั้งแต่ปี 1960 นอกจาก ปีเตอร์ เบียดสลี่ย์ และ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่ลงเล่นให้กับทั้งสองทีม หลังจากอินซ์ที่ประสบความสำเร็จกับแมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้กับลิเวอร์พูลในช่วงท้ายๆ ของอาชีพการค้าแข้ง โด ยอินซ์ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับทั้งสองทีมว่า
 
        "ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จอย่างมากมายด้วยความเป็นมืออาชีพ และการทำงานหนัก อย่างไรก็ตามทีมของพวกเขามักจะตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของซูเปอร์สตาร์ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด"
 
        "ขณะที่เอฟเวอร์ตัน กับ ลิเวอร์พูล เป็นคู่ปรับกันในแบบที่เป็นมิตรมากกว่า เนื่องจากแฟนบอลของทั้งสองทีมมาจากครอบครัวเดียวกัน และไม่มีการแบ่งแยกอาณาเขตอย่างชัดเจน"
 
        ทางด้านแฟนบอลของแมนฯ ยูฯ ก็ไม่ได้คิดว่า แมนฯ ซิตี้ เป็นคู่ปรับ เนื่องจาก "เรือใบสีฟ้า" ประสบความสำเร็จน้อยกว่ามาก และไม่ใช่ทีมที่จะมาแย่งแชมป์กับพวกเขาในเวลานั้น ทำให้แฟนบอลของ "หงส์แดง" และ "ผีแดง" พุ่งเป้าไปที่กันและกันมากกว่า แต่บางครั้งความเป็นคู่ปรับก็เลยเถิด

ป้ายแซวหรือเหยียดหยามกันแบบนี้มีให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับแฟนบอลของแมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล 
        "เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ปี 1985 ที่กูดิสัน พาร์ค เป็นจุดที่ตกต่ำที่สุด เมื่อแฟนบอลของทั้งสองทีมล้อเลียนโศกนาฏกรรมของแต่ละฝ่าย โดยหลังจากที่เกิดเหตุที่เฮย์เซล สเตเดี้ยม ทำให้แฟนบอลยูไนเต็ดมีเรื่องที่จะล้อเลียน หลังจากที่ก่อนหน้านี้พวกเขาโดนแฟนบอลลิเวอร์พูลพูดถึงเรื่องเครื่องบินตกที่มิวนิค"

 ลิเวอร์พูล ยังเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษทีมหนึ่ง รวมทั้งคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ไปถึง 5 สมัย โดยล่าสุดทำได้ในปี 2005
        ความสำเร็จของแมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล ที่ได้แชมป์ลีกสูงสุด 20 และ 18 ครั้งตามลำดับ เป็นสิ่งที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ นอกจากนั้น "หงส์แดง" ยังได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ไปอีก 5 สมัย ขณะที่ "ผีแดง" ได้ไป 3 สมัย โดย ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ภายใต้การคุมทีมของ ราฟา เบนิเตซ 1 สมัย ส่วนยูไนเต็ดได้แชมป์ภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 2 สมัย

 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นมายิ่งใหญ่เทียมหน้าเทียมตาคู่ปรับอย่างลิเวอร์พูล
        การเป็นคู่ปรับระหว่างทั้งสองทีมช่วยให้ฟุตบอลอังกฤษได้รับความสนใจจากแฟนบอลทั่วโลก และชื่อของทั้งสองสโมสรคือตราสินค้าจากเมืองผู้ดีที่สามารถขายไปได้ทั่วโลก แม้ว่า 23 ฤดูกาลของพรีเมียร์ลีกทั้งสองทีมอาจจะไม่ได้ผูกขาดความสำเร็จมากเท่าเดิม แต่ทั้งสองทีมก็ยังเหนือกว่าทีมอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีกมากมายในเรื่องของแฟนบอล
 
        "ศึกแดงเดือด" ยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษ จริงหรือไม่ ?

1. ความสำเร็จ
        ตัวเลขเป็นสิ่งที่โกหกกันไม่ได้ โดยในรอบ 70 ปีล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล ครองความยิ่งใหญ่ในเกาะอังกฤษ โดย "ผีแดง" ได้แชมป์ลีก 20 สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัย และแชมป์บอลถ้วยรายการอื่นๆ 15 สมัย ส่วน "หงส์แดง" ได้แชมป์ลีก 18 สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 5 สมัย และแชมป์บอลถ้วยรายการอื่นๆ 18 สมัย
 
        ขณะที่ทีมอันดับสามที่ตามมาคือ อาร์เซน่อล ได้แชมป์ลีก 8 สมัย และ แชมป์บอลถ้วยรายการอื่นๆ 13 สมัย, เชลซี ได้แชมป์ลีก 4 สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย และแชมป์บอลถ้วยรายการอื่นๆ 14 สมัย โดยมี สเปอร์ส เป็นอันดับห้า ได้แชมป์ลีก 2 สมัย และแชมป์บอลถ้วยรายการอื่นๆ 12 สมัย ส่วน แมนฯ ซิตี้ ได้แค่แชมป์ลีก 2 สมัย และแชมป์บอลถ้วยรายการอื่นๆ 7 สมัย
การที่มหาเศรษฐีอย่าง โรมัน อบราโมวิช (คนชูถ้วย) เจ้าของทีมเชลซี เข้ามาซื้อทีมใน อังกฤษ ทำให้ความยิ่งใหญ่ของแมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล เริ่มถูกท้าทายมากขึ้น

2. ฐานะการเงิน
        แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่มีรายได้มากที่สุดในอังกฤษ โดยในปี 2014 พวกเขามีรายได้เกือบ 350 ล้านปอนด์ ซึ่งต้องขอบคุณบรรดาสปอนเซอร์ อย่างไรก็ตามแมนฯ ซิตี้ และเชลซี ขยับขึ้นมาเป็นอันดับสองและสาม ซึ่งต้องขอบคุณประธานสโมสรระดับมหาเศรษฐีของพวกเขา ส่วน อาร์เซน่อล เป็นอันดับสี่ โดยมีรายได้หลักจากสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม และการเข้ารอบน็อกเอาต์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างต่อเนื่อง ส่วน ลิเวอร์พูล ตกลงไปเป็นอันดับที่ 5 มีรายได้ไม่ถึง 200 ล้านปอนด์
  
3. มูลค่านักเตะในทีม
        แมนฯ ยูไนเต็ด มีนักเตะในทีมที่มีมูลค่ารวมกันมากกว่า 400 ล้านปอนด์ มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยมี แมนฯ ซิตี้, เชลซี และอาร์เซน่อล ตามมาติดๆ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ตกลงไปเป็นอันดับห้าอีกครั้ง โดยมีนักเตะทั้งทีมมีมูลค่ารวมกันไม่ถึง 300 ล้านปอนด์
แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่มีมูลค่านักเตะรวมกันมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก และ อังเคล ดิ มาเรีย (กลาง) ก็เป็นนักเตะที่แพงที่สุดด้วย

4.  แฟนบอล
        ว่ากันว่า ลิเวอร์พูล มีแฟนบอลทั่วโลก 580 ล้านคน เป็นรองแค่ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่อ้างว่าพวกเขามีแฟนบอลทั่วโลก 659 ล้านคน อย่างไรก็ตามหากจะนับหลักฐานที่จับต้องได้ "ผีแดง" ยังเป็นเบอร์หนึ่งของอังกฤษ เมื่อดูจากยอดไลค์ในเฟซบุ๊ก ขณะที่ "หงส์แดง" ตกลงไปเป็นอันดับ 4

สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ "ศึกแดงเดือด"
        สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมลิเวอร์พูล เชื่อว่าเกมแดงเดือดเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่แค่ในอังกฤษแต่เป็นทั่วโลก
 
        "สำหรับผมมันเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพรีเมียร์ลีกและทั่วโลก เนื่องจากเป็นการพบกันระหว่างสองทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ผมไม่ได้มีอคติเวลาที่ผมพูดแบบนี้ บางทีเกมระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า อาจจะใกล้เคียง"
สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมลิเวอร์พูล ยังเชื่อว่าเกมแดงเดือดกับแมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
 
        แน่นอนว่า เจอร์ราร์ด ไม่เคยลงเล่นในเกมระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า หรือ โบคา จูเนียร์ส กับ ริเวอร์ เพลท หรือแม้แต่แฟนบอลของ เชสเตอร์ กับ เร็กซ์แฮม อาจจะคิดว่าเกมของพวกเขาสำคัญกว่า แต่เรื่องแบบนี้บางทีอาจจะวัดกันไม่ได้ ดังนั้นแฟนบอลทุกคนต้องเป็นคนตัดสินใจเองว่า "ศึกแดงเดือด" ยิ่งใหญ่จริงๆ หรือไม่ ในสายตาของพวกเขา
"โกลเด้นโจ"

สถิติพบกันระหว่างทั้งสองทีม  
  แมนฯ ยูฯ ชนะเสมอลิเวอร์พูล ชนะ
ลีก  634455
เอฟเอ คัพ 944
ลีก คัพ 203
รายการอื่นๆ 132
รวม 7551
64

เทียบความสำเร็จระหว่างทั้งสองทีม 
แมนฯ ยูไนเต็ด    ลิเวอร์พูล 
20 ลีกสูงสุด  18
3 ยูโรเปี้ยน คัพ  5
1 คัพ วินเนอร์ คัพ 0
0 ยูฟ่า คัพ 3
11 เอฟเอ คัพ 7
4 ลีก คัพ  8
20 คอมมิวนิตี้ ชิลด์  15
1 ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 3
1 อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ 0
1 สโมสรโลก 0
62 รวม 59